กฤษฎีกาเคาะแล้วทางออกปมรวมกิจการ “ทรู-ดีแทค” ยึดประกาศปี 61

194

business highlight online : 21 กันยายน 65 กฤษฎีกาเคาะแล้วทางออกปมดีล “ทรู-ดีแทค” ยึดประกาศปี 61 กสทช. รับทราบและออกเงื่อนไข

นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ กสทช. รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. เปิดเผยว่า ตามที่ กสทช. ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี เพื่อขอความอนุเคราะห์ให้คณะกรรมการกฤษฎีกาพิจารณาให้ความเห็นในประเด็นข้อกฎหมาย เพื่อตีความอำนาจพิจารณาการรวมกิจการระหว่างทรูและดีแทคนั้น ล่าสุดวันนี้ (20 ก.ย.65) สำนักงาน กสทช. ได้รับหนังสือตอบจากคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นที่เรียบร้อย และได้ส่งต่อประธาน กสทช. เพื่อที่จะนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาในลำดับต่อไป

หลังจากที่รักษาการนายกรัฐมนตรีได้ส่งเรื่องให้กฤษฎีกาออกความเห็นเกี่ยวกับอำนาจของ กสทช. เพื่อใช้เป็นข้อการพิจารณากรณีรวมกิจการทรูและดีแทค ล่าสุดปรากฏว่ากฤษฎีกาฯได้ส่งหนังสือตอบกลับไปยัง กสทช. เป็นที่เรียบร้อย โดยมีความเห็นสรุปเป็นสาระสำคัญได้ว่า การรวมกิจการโทรคมนาคมระหว่างทรูและดีแทค ต้องยึดตามประกาศ กสทช. ปี 2561 ทั้งนี้ เนื่องจากกฎหมายรวมธุรกิจในกิจการโทรคมนาคม ตามประกาศ กสทช. ปี 2553 ที่กำหนดให้การรวมธุรกิจต้องได้รับอนุญาตจาก กสทช. ก่อนนั้น ได้ถูกยกเลิกแล้ว โดยมีประกาศ กสทช. ปี 2561 ขึ้นมาแทน ซึ่งกำหนดให้การรวมธุรกิจกระทำได้โดยจัดทำรายงานส่งให้ กสทช. โดยมีทั้งกรณีที่ต้องรายงานก่อนล่วงหน้า และรายงานหลังจากรวมธุรกิจแล้ว สอดคล้องกับมาตรา 77 วรรคสามของรัฐธรรมนูญ ที่กำหนดให้รัฐพึงใช้ระบบอนุญาตเฉพาะกรณีที่จำเป็น

ในการนี้ กสทช. มีอำนาจกำหนดเงื่อนไขหรือมาตรการเฉพาะสำหรับผู้มีอำนาจเหนือตลาดมาบังคับใช้ เพื่อป้องกันความเสียหายต่อประโยชน์สาธารณะได้ตามข้อ 12 ของประกาศปี 2561 นอกจากนี้ยังให้ความเห็นว่า กสทช. ต้องใช้อำนาจโดยคำนึงถึงความได้สัดส่วนระหว่างการคุ้มครองผู้บริโภคกับการพัฒนากิจการโทรคมนาคมด้วย

รายงานข่าวเปิดเผยว่า ข้อคิดเห็นทางกฎหมายจากคณะกรรมการกฤษฎีกา ถือเป็นประตูทางออกสำหรับ กสทช. ในการพิจารณาการรวมกิจการทรู-ดีแทค ซึ่งคาดว่า กสทช. จะมีการเรียกประชุมวาระพิเศษเพื่อพิจารณากำหนดเงื่อนไขโดยเร็ว เพื่อลดกระทบต่อผู้บริโภคตามที่หลายฝ่ายวิตกกังวล เนื่องจากกรณีนี้ล่าช้าและยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน

Advertisement