กัมพูชาเร่งกู้เงินเพิ่มจากจีน-แม้นักวิเคราะห์เตือนให้ระวัง ‘กับดักหนี้’

204

business highlight online : 4 กุมภาพันธ์ 2566 นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชา กำลังเตรียมตัวเยือนกรุงปักกิ่งในเดือนหน้าเพื่อเจรจาขอกู้เงินเป็นจำนวนกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์เพื่อมาดำเนินการสร้างรถไฟความเร็วสูงที่จะเชื่อมกรุงพนมเปญเข้ากับศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่ติดกับพรมแดนไทย

นายกฯ ฮุน เซน บอกกับผู้สื่อข่าวระหว่างการประชุมประจำปีเมื่อวันที่ 14 มกราคมว่า “ผมหวังว่า การเดินทางเยือนจีน ที่จะมีขึ้นจะนำมาซึ่งโครงการใหม่ ๆ ที่เราจะต้องพึ่งเพื่อนจีนเพื่อพัฒนากัมพูชา ซึ่งรวมถึงรางรถไฟความเร็วสูง”

การเดินทางเยือนจีนอย่างเป็นทางการของผู้นำกัมพูชานั้นมีกำหนดเริ่มในวันที่ 9 กุมภาพันธ์

รายงานข่าวระบุว่า ข้อตกลงที่กัมพูชาเตรียมไปเสนอกับจีนนั้นแสดงให้เห็นถึงสัญลักษณ์ของมิตรภาพ “อันแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า” ระหว่างสองประเทศซึ่งผู้สังเกตการณ์ชี้ว่า เป็นสถานการณ์ที่กัมพูชาพึ่งพาเงินทุนจีนเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาจนำไปสู่ “กับดักหนี้” ที่จะมาพร้อมผลสืบเนื่องด้านภูมิรัฐศาสตร์และเศรษฐกิจระยะยาวด้วย

กระทรวงโยธาธิการและการขนส่งกัมพูชาเปิดเผยเมื่อวันที่ 23 มกราคมว่า บริษัท China Road and Bridge Corporation (CRBC) ได้ทำการศึกษาโครงการรถรางนี้ที่มีระยะทาง 385 กิโลเมตรและจะให้ขบวนรถวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเรียบร้อยแล้ว โดยรถไฟสายนี้จะวิ่งจากกรุงพนมเปญมาไปยังเมืองปอยเปตทางตะวันตกของประเทศ

เอกสารของรัฐบาลกัมพูชาที่มีชื่อว่า Public Debt Statistical Bulletin ที่กระทรวงเศรษฐกิจและการคลังเปิดเผยออกมาเมื่อเดือนธันวาคมของปีที่แล้วว่า โครงการนี้เป็นความหวังที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของกัมพูชาได้อย่างดี ในช่วงเวลาที่หนี้ต่างประเทศของตนนั้นสูงถึงระดับเกือบ 10,000 ล้านดอลลาร์อยู่

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้กลับมาจุดประเด็นโต้เถียงกันว่า แนวคิดริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road Initiative – BRI) อาจทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้องติดกับของกรุงปักกิ่ง โดยเฉพาะถ้าผลตอบแทนทางเศรษฐกิจที่แต่ละประเทศหวังไม่ได้เกิดขึ้นดังคาด

เอี๊ยะ โสพาล นักวิชาการด้านการพัฒนาและการเมืองกัมพูชา จาก Thunderbird School of Global Management ของมหาวิทยาลัยรัฐแอริโซนา (Arizona State University) บอกกับผู้สื่อข่าว วีโอเอ ภาคภาษาเขมร ว่า “การพึ่งพาประเทศใดประเทศหนึ่งอย่างต่อเนื่อง คือ ความเสี่ยง … คุณไม่ต้องการจะหวังพึ่งพาสิ่งหนึ่งสิ่งใดเพียงสิ่งเดียว … กัมพูชาทำอย่างนั้นมาตลอดและก็ยังทำอยู่ … การติดหนี้จีนในระดับเกือบ 50% ของหนี้สาธารณะไม่ใช่เรื่องดี” และว่า “นี่เป็นเรื่องที่มากเกินไป และฮุน เซนก็กำลังผูกอนาคตทางการเมืองของเขาไว้กับจีน … เขาทำแบบนั้นมาหลายปีแล้ว และจะยังคงเดินหน้าทำอย่างเต็มกำลังต่อไปด้วย”

คำเตือนจากสหรัฐฯ

รัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งแข่งขันกับจีนในเวทีโลกอยู่ ออกมาเตือนประเทศต่าง ๆ ให้ระวังการกู้ยืมเงินก้อนโต ๆ ภายใต้ยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐาน BRI ของจีนไว้ให้ดี

กรุงวอชิงตันกล่าวว่า แนวคิดริเริ่ม BRI นั้นเป็น กับดักหนี้แบบหนึ่ง และอาจทำให้หลายประเทศสูญเสียอำนาจการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของตนที่ถูกนำมาใช้เป็นหลักประกัน ดังเช่น กรณีของศรีลังกาที่ “ติดกับ” ไปแล้ว เพราะกรุงปักกิ่งเป็นฝ่ายควบคุมท่าเรือหลักของประเทศนี้ที่ถูกนำมาใช้แทนการชำระหนี้

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลฮุน เซน แย้งว่า การกู้ยืมเงินของตนนั้นยังควบคุมได้อยู่ โดยกระทรวงเศรษฐกิจและการคลังของกัมพูชา อ้างตัวเลขจากรายงานหนี้สาธารณะ Public Debt Statistical Bulletin เมื่อปีที่แล้ว และระบุว่า ระดับหนี้ต่างประเทศของกัมพูชาในปัจจุบันที่ 9,470 ล้านดอลลาร์ (หรือราว 35% ของจีดีพีมูลค่า 27,000 ล้านดอลลาร์) นั้นจะปรับขึ้นอย่างไม่น่ากังวลมาเป็นราว 12,620 ล้านดอลลาร์ในปีนี้

รายงานจาก Kiel Institute ในประเทศเยอรมนีที่ออกมาเมื่อปี ค.ศ. 2019 มีการประเมินว่า กัมพูชานั้นเป็นประเทศที่มีภาระหนี้สูงที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ของ 50 ประเทศที่กู้เงินจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนของจีน เมื่อดูจากสัดส่วนของจีดีพี

นักวิจัยของสถาบันแห่งนี้กล่าวด้วยว่า “กัมพูชาและประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย เช่น ลาวและสาธารณรัฐคีร์กีซ นั้น “ตกอยู่ในภาวะเสี่ยงอย่างมาก (จากการเป็น)ประเทศเล็ก ๆ ที่มีความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์กับจีน”

ขณะเดียวกัน แถลงการณ์ของสถานทูตจีนประจำกรุงพนมเปญที่ออกมาเมื่อเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 2019 ระบุว่า ถนนหลวง 31 สายและสะพาน 8 แห่งในกัมพูชา ที่มาระยะทางรวมกันราว 3,000 กิโลเมตร เป็นโครงการที่จีนให้เงินสนับสนุนและช่วยสร้าง แต่แถลงการณ์นี้ไม่ได้ให้รายละเอียดว่า ตัวเลขหนี้ที่พอกพูนขึ้นมาจากโครงการทั้งหมดนี้อยู่ที่ระดับเท่าไหร่

แต่รายงานข่าวเปิดเผยว่า โครงการถนนแบบที่มีการเก็บค่าผ่านทางสายหนึ่งซึ่งกัมพูชาเพิ่งเปิดให้บริการใช้เงินก่อสร้างสูงถึง 1,900 ล้านดอลลาร์ในรูปของเงินกู้จากรัฐบาลจีนที่จ้างบริษัท China Road and Bridge Corporation มาทำการก่อสร้างภายใต้สัญญาแบบ Build Operate Transfer (BOT) ซึ่งก็คือ โครงการที่หน่วยงานเอกชนสร้างสิ่งปลูกสร้างระบบสาธารณูปโภคขึ้นใหม่ และบริหารจัดการด้วยความเสี่ยงของตนเอง ก่อนจะโอนถ่ายทรัพย์สินนั้นให้แก่ภาครัฐเมื่อเสร็จสิ้นสัญญา

ดาบสองคม

สภาพเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลงทำให้การเดินหน้าโครงการต่าง ๆ ในแถบเมืองริมทะเลของกัมพูชาต้องหยุดชะงัก ขณะที่ ชาวบ้านจำนวนมากที่ถูกทางการขับไล่ออกจากบ้านเรือนของตนเพื่อเปิดทางให้กับแผนก่อสร้างทั้งหลายก็ออกมาประท้วงเรียกร้องเงินชดเชยจำนวนสูงกว่าที่เสนอมาด้วย

จิง จิง ลั่ว และ เคียง อุน สองนักวิชาการร่วมกันเขียนบทความในวารสาร Contemporary Southeast Asia ว่า เงินลงทุนและความช่วยเหลือของจีนเป็นเหมือนดาบสองคมสำหรับพรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People’s Party – CPP) โดยระบุว่า “การมีส่วนร่วมของจีนนั้นทั้งช่วยเสริมสร้างและบ่อนทำลายความชอบธรรมของพรรค CPP (เพราะ) ขณะที่จีนช่วยเสริมสร้างการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้ เงินลงทุนจากจีนบางส่วนกลับส่งแรงสะท้อนกลับด้านลบต่อเศรษฐกิจและสังคมของประชาชนชาวกัมพูชา ซึ่งก็กลับมากระทบต่อความชอบธรรมของพรรค CPP นั่นเอง”

อย่างไรก็ตาม นายกฯ ฮุน เซน ไม่ได้แสดงให้เห็นว่า ตนเองมีความกังวลเกี่ยวกับการกระชับความสัมพันธ์ทางการเงินกับจีนออกมาเลย

Advertisement