“พิธา” นำทีมเศรษฐกิจ หารือ ภาคอุตสาหกรรม “ขึ้นค่าแรง-ลดค่าไฟ”

134

business highlight online : 23 พฤษภาคม 2566 “พิธา” นั่งวิน จยย. นำทีมเศรษฐกิจ หารือ ส.อ.ท. ชี้ขึ้นค่าแรงตามทักษะแรงงาน พร้อมช่วยเหลือเอกชน ไม่มองเหรียญด้านเดียว เรื่องพลังงานพร้อมเปลี่ยนสูตรจัดสรรก๊าซธรรมชาติทันทีที่มีรัฐบาลใหม่ บิลค่าไฟลดลงภายใน ม.ค.67

นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล อาทิ นางสาว ศิริกัญญา ตันสกุล นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร พร้อมด้วยนายสุพันธุ์ มงคลสุธี ตัวแทนจากพรรคไทยสร้างไทย เข้าพบหารือกับคณะกรรมการและผู้บริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) นำโดย นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธาน ส.อ.ท. เพื่อรับฟังข้อเสนอนโยบายจากภาคอุตสาหกรรมพร้อมทั้งรับฟังปัญหา อุปสรรค และข้อกังวลของตัวแทนภาคอุตสาหกรรม

โดยวันนี้ นายพิธา ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์รับจ้างเข้ามาจอดที่ด้านหน้าอาคาร ส.อ.ท. ท่ามกลางสื่อมวลชนที่มาดักรอ ก่อนเดินทางขึ้นไปประชุมบนชั้น 8 ของอาคาร

ภายหลังการหารือร่วมกันนานกว่า 2 ชั่วโมง นายพิธา และนายเกรียงไกร ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน นายพิธา ระบุว่าบรรยากาศการพูดคุยเป็นไปด้วยดี มีการพูดคุยถึงนโยบายของอุตสาหกรรมของประเทศไทยในยุคใหม่และนโยบายของพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล เช่น เรื่องราคาพลังงาน การเพิ่มทักษะแรงงาน การปราบปรามคอร์รัปชัน เป็นต้น ซึ่งในระยะต่อไปหารือกันว่า จะร่วมกันตั้งคณะทำงานรายคลัสเตอร์ ทั้งอุตสาหกรรมยานยนต์ สิ่งทอ เคมี โดยเอาโจทย์ของแต่ละอุตสาหกรรมที่มีความแตกต่างกันมาแก้ปัญหา ไม่ว่าจะเป็นด้านกฎหมาย เทคโนโลยี เงินทุน แรงงาน

โดยเฉพาะการสนับสนุนเอสเอ็มอีให้สามารถต่อสู้กับวิกฤตเศรษฐกิจได้ พร้อมระบุว่าตนมีโอกาสทำงานร่วมกับสภาอุตสาหกรรมฯ ครั้งแรกเมื่อตั้งแต่ 20 ปีที่แล้ว วันนั้นประเทศไทยคุยกันเรื่องการสร้างความสามารถในการแข่งขันผ่านยุทธศาสตร์การรวมกลุ่มทางอุตสาหกรรมคลัสเตอร์พลัส แต่เวลาผ่านไปเห็นได้ว่าหลายเรื่องที่คุยกันค้างไว้ไม่ได้มีการทำต่อ จึงเป็นโอกาสดีในการเข้ามาผลักดันอุตสาหกรรมให้ตอบโจทย์ใหม่ๆของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ การสร้างยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมใหม่

สำหรับประเด็นเรื่องค่าแรง ที่พรรคก้าวไกล หาเสียงไว้ว่าจะขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทันทีเป็น 450 บาท และพรรคเพื่อไทยขึ้นค่าแรงเป็น 600 บาท ภายในปี 2570 ซึ่งภาคเอกชนมองว่าจะมีส่วนทำให้ลดขีดความสามารถในการแข่งขันนั้น นายพิธา กล่าวว่า มีการหารือในเรื่องภาพรวมแรงงาน การขาดแคลนของแรงงานในหลายภาคอุตสาหกรรม และบัณฑิตจบใหม่ตกงาน อัตราว่างงาน และการเพิ่มทักษะแรงงาน รวมถึงค่าแรงงานที่เหมาะสม การขึ้นค่าแรงไม่ได้มองเหรียญด้านเดียว แต่ทำไปพร้อมกับมาตรการช่วยเหลือภาคเอกชน การเสริมทักษะแรงงาน และมีระบบในการปรับขึ้นค่าแรงทุกปีตามสภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ เพื่อให้คุณภาพและรายได้ของประชาชนเป็นสิ่งที่เติบโตไปด้วยกัน  ส่วนตัวเลขที่แน่นอน พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลยังต้องหารือกันอย่างรอบคอบอีกครั้ง ซึ่งทั้งพรรคร่วมและผู้ประกอบการเห็นตรงกันว่าไม่อยากให้ขึ้นทันทีแต่เป็นการขึ้นตามสภาพเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และประสิทธิภาพแรงงาน

ทั้งนี้ มองว่าไทยต้องเติบโตด้วยการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน และเพิ่มการใช้เทคโนโลยี ให้ผลิตสิ่งที่มีมูลค่าสูง ไม่ใช่เติบโตด้วยการกดค่าแรงให้ต่ำและกดความสามารถในการแข่งขันให้ต่ำ ซึ่งส่วนหนึ่งที่จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันได้ คือ การเร่งเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) ไทย-สหภาพยุโรป ให้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้จะเข้าไปหารือกับสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย และสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย ซึ่งหลังจากจัดตั้งรัฐบาลจะมีการเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการไตรภาคีทั้งฝั่งรัฐบาล ลูกจ้าง และนายจ้าง

สำหรับนโยบายด้านราคาพลังงาน นางสาวศิริกัญญา กล่าวในการหารือว่า มีสัญญาณที่ดีจากคณะกรรมการกำกับดูแลพลังงาน ที่พร้อมเปลี่ยนสูตรการจัดสรรก๊าซธรรมชาติ สามารถทำได้ทันทีที่มีรัฐบาลใหม่ จะเห็นผลในบิลค่าไฟที่ลดลงภายในเดือนมกราคม 2567

ด้าน นายเกรียงไกร เปิดเผยว่า ในการหารือเห็นพ้องกันในการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน การช่วยเหลือดูแลเอสเอ็มอีในช่วงเปราะบาง และขับเคลื่อนประเทศด้วยเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้น อีกประเด็นที่หารือกันคือการกิโยตินกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น ล้าสมัย และจะทำอย่างไรเพื่อไปสู่กฏหมายใหม่รองรับอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในไทย โดยมองรอบด้าน ไม่เฉพาะด้านกฏหมายแต่มองด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ ไปพร้อมๆกัน อย่างไรก็ตาม จากนี้ไปภาครัฐและเอกชนจะต้องทำงานใกล้ชิดร่วมกันในทุกมิติ ในรูปแบบการตั้งคณะทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาลกับ ส.อ.ท. ที่มองอุตสาหกรรมเป็นรายเซกเตอร์ และทำให้เกิดขึ้นจริง โดยยึดประโยชน์ของประเทศ และประชาชนเป็นสำคัญ

Advertisement