ชี้นโยบาย “เงินดิจิทัล 10,000 บาท” กระตุ้นเศรษฐกิจได้ 3 รอบ สูงถึง 1.5 ล้านล้านบาท

82

business highlight online : 26 สิงหาคม 2566 อธิการบดี ม.หอการค้า ชี้นโยบาย “เงินดิจิทัล 10,000 บาท” กระตุ้นเศรษฐกิจได้ 3 รอบ สูงถึง 1.5 ล้านล้านบาท แหล่งเงินขาดดุลงบไม่ต้องกู้เพิ่ม คาดเริ่มต้นปี 2567 จับตา “ดรีมทีมเศรษฐกิจ” ถ้า “เศรษฐา” ควบ “รมว.คลัง” เชื่อสร้างผลงานเร็ว

รศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงนโยบาย “เงินดิจิทัล 10,000 บาท” ของพรรคเพื่อไทย ว่าเป็นนโยบายที่ออกปากจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีเอง ขณะนี้สังคมกำลังให้ความสำคัญกับเรื่องของการพูดว่าใครพูดอะไรแล้วต้องทำ ซึ่งเชื่อว่านโยบายนี้สามารถทำได้ และมีเงินเพียงพอ ทำได้แน่นอน โดยจะใช้เงินรวม 5 แสนล้านบาท เพราะใช้โครงสร้างงบประมาณ 3 ล้านล้านบาท และใช้การขาดดุลงบประมาณ 7 แสนล้านบาท มาช่วยเสริม แต่อาจต้องชะลอโครงการบางโครงการออกไป ส่วนกรณีที่มีความเป็นห่วงเรื่องหนี้สาธารณะนั้นมองว่าไม่น่าจะกระทบ เพราะสำนักงบประมาณ มีการวางกรอบการขาดดุลไว้ไม่เกิน 4% ซึ่งจากสถานะทางการเงินตอนนี้อาจจะขาดดุลงบเพิ่มได้อีกเล็กน้อย ไม่สูงเกินไป โดยขณะนี้เพดานหนี้สาธารณะอยู่ที่ 60% แต่สามารถขยายได้ 70% ดังนั้นไม่ต้องกู้เพิ่ม ทั้งนี้อาจมีการพิจารณาเรื่องการใช้ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ซึ่งส่วนนี้ไม่เพียงจะทำให้ได้เงินเพิ่ม 30,000-35,000 ล้านบาท แต่ยังจะได้ภาษีบุคคลและนิติบุคคลเพิ่มในปีถัดไป

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่านโยบายดังกล่าวจะทำให้เกิดการหมุนเวียนเศรษฐกิจ 2-3 รอบ คิดเป็นมูลค่า 1-1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งคนได้เงินมาจะรีบใช้ คาดว่าน่าจะสามารถเริ่มใช้นโยบายนี้ได้ต้นปี 2567 โดยรัฐอาจออกแบบการใช้ แบ่งเป็นเฟส เช่น เฟสละ 3,000 บาท เพื่อกระจายให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจ และกำหนดเงื่อนไขให้ใช้ในการซื้อสินค้าไทย เพื่อให้เม็ดเงินกระจายในประเทศ จะทำให้เงินหมุนหลายรอบ หากไม่กำหนด ก็เสี่ยงจะรั่วไหลออกไปกับสินค้าต่างประเทศได้ ส่วนเงื่อนไขที่อาจเป็นอุปสรรค เช่น จะต้องใช้จ่ายในรัศมี 4 กิโลเมตร จากที่อยู่ตามทะเบียนบ้าน นั้น เชื่อว่ารัฐบาลจะออกข้อกำหนดเพื่อช่วยให้ประชาชนสามารถใช้จ่ายได้

รศ.ดร.ธนวรรธน์ กล่าวเพิ่มเติมถึง ดรีมทีมเศรษฐกิจ ว่า สิ่งที่เราจะต้องเชื่อ การที่ได้นายกรัฐมนตรีคนที่ 30 คือนายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งมีประสบการทำงานเชิงธุรกิจได้รับการยอมรับความสามารถในการบริหาร ประสบความสำเร็จ จากภาพรายชื่อทีมสะท้อนว่ารัฐบาลมีอำนาจพอสมควร และมีการคัดผู้บริหารงานระดับกระทรวงมาแล้วว่า ที่เชื่อว่าจะสามารถจะช่วยสร้างผลงานอย่างรวดเร็ว

สำหรับงานเร่งด่วนที่ต้องทำ คือ การโรดโชว์ เพื่อเสริมสร้างความมั่นใจให้ต่างประเทศ การทำความตกลงเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) การผลักดันตลาดใหม่ อย่างตะวันออกกลาง และการดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่ทั้ง ตะวันออกกลาง เวียดนาม อินเดีย และรัสเซีย เข้ามาท่องเที่ยวไทยมากขึ้น ส่วนมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์มองว่า รัฐบาลอาจจะใช้มาตรการได้หลายแบบ อาทิ การยกเลิกการจดทะเบียนการโอน หรืออาจจะใช้มาตรการผ่อนปรน LTV เพื่อกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อระบายสตอก 60,000-80,000 ยูนิต ซึ่งจะใช้เงินงบฯไม่มาก และการที่ดอกเบี้ยไม่แพงจะมีส่วนช่วยเสริมให้ตลาดมีความคึกคักมากขึ้น

“การที่มีข่าวว่า นายกรัฐมนตรีจะรับหน้าที่ รมว.คลัง และเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจด้วยนั้น เพราะรัฐบาลเห็นว่าเรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่องเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด และตามข่าวคาดว่า รมช.คลัง อาจเป็นอดีตข้าราชการ ซึ่งจะมาช่วยเสริมในเรื่องกฎระเบียบ หากดูรูปแบบเอกชน ซีอีโอจะมอบให้ผู้บริหารระดับสูงทำงาน และยังทีมงานเพื่อไทยที่เคยมีประสบการณ์ เข้ามาช่วยอีกจะยิ่งทำให้เศรษฐกิจแข็งแกร่งมากขึ้น”

Advertisement