Business Highlight Online : 22 เมษายน 2568 นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม กรรมการบริหาร บล.เอเซีย พลัส มอง ตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วคาดผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ คงไม่ทำให้ตลาดหุ้นไทยหลุดจากแนวรับที่ 1,060 จุด แนะรัฐบาลยกเลิกแจกเงินหมื่น แล้วนำงบฯไปใช้ต่อสู้สงครามการค้า
นายเทิดศักดิ์ กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วคาดผลกระทบจากการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ คงไม่ทำให้ตลาดหุ้นไทยหลุดจากแนวรับที่ 1,060 จุดและการเจรจากับสหรัฐฯคาดอัตราภาษีจะต้องต่ำกว่าที่ประกาศไว้ตอนแรกที่ขึ้นภาษีประเทศไทย 36% อย่างแน่นอน แต่หากผลการเจรจาอัตราภาษีของไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่ง เศรษฐกิจไทยก็จะได้รับผลกระทบสูง
อย่างไรก็ตาม ยังคงกังวลว่า จีดีพีไทย ไตรมาส 2/68 จะต่ำกว่าไตรมาส 1/68 และจีดีพีไทย ไตรมาส 3/68 ต่ำกว่าไตรมาส 2/68 ซึ่งหากจีดีพีลดต่ำติดต่อกัน 2 ไตรมาส เศรษฐกิจไทยก็จะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค หรือ Technical Recession เนื่องจากในไตรมาส 1/68 รัฐบาลได้อัดฉีดงบประมาณและโครงการต่าง ๆ ไปกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นจำนวนมาก ทำให้มีฐานสูง ในขณะที่ไตรมาสที่เหลือของปียังไม่มีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน บวกกับผลกระทบจากสงครามการค้า จึงทำให้เสี่ยงต่อการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทางเทคนิค
ทั้งนี้ แนวทางการรับมือกับปัญหานี้ มองว่ารัฐบาลควรพิจารณายกเลิกโครงการแจกเงินหมื่นในระยะต่อไป และนำเงินตรงนี้ไปใช้ต่อสู้ในสงครามการค้าจะดีกว่า เพราะในอนาคตข้างหน้าคาดว่าสงครามการค้าจะทวีความรุนแรง และคาดเดาได้ยาก จึงต้องเตรียมความพร้อมไว้ในทุกด้าน
นอกจากนี้ ภายใต้สภาวะเศรษฐกิจดังกล่าว น่าจะเห็นมาตรการที่จะเข้าประคับประคองทั้งนโยบายการคลังที่มีโอกาสเห็นการปรับเพิ่มกรอบวินัยการคลัง จากหนี้สาธารณะ 70% ของ GDP ให้สูงขึ้น และนโยบายการเงิน ซึ่งน่าจะเห็น กนง.ปรับลดดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้ง เหลือ1.75% ในการประชุมรอบ 30 เม.ย.68
โดย บล.เอเซีย พลัส ประเมินเบื้องต้นว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้ อาจถูกกดดันจนทำให้ GDP ขยายตัวต่ำกว่า 2.0% เนื่องจากต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทย รวมทั้งความไม่แน่นอนของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่มีแนวโน้มลดลง ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันเศรษฐกิจไทย ในขณะที่สหรัฐฯ คาดว่าจะเริ่มปรับขึ้นภาษีนำเข้าในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ GDP โลกโตต่ำกว่า 3%
สำหรับเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2568 คาดการณ์แนวต้านไว้ที่ระดับ 1,160 – 1,180 จุด และมีแนวรับที่ 1,060 จุด ส่วนเป้าหมายดัชนีฯ สิ้นปี 2568 แบบอนุรักษ์นิยม ภายใต้ประมาณการกำไรต่อหุ้นที่ 89 บาทต่อหุ้น อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 2% และส่วนต่างผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลและอัตราผลตอบแทนตลาดหุ้นที่ 4.5% จะได้ดัชนีเป้าหมายสิ้นปี 2568 ที่ 1,424 จุด
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แนะนำให้นักลงทุนเน้นลงทุนในหุ้นที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่นักวิเคราะห์มองว่ามีความแข็งแกร่ง มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล และมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรที่ดีในปี 2568-2569 ได้แก่ SCC, CPALL, BDMS, WHA, KCE, CK, AP, SCGP และ BBL
Advertisement
