ก.เกษตรเผยผลไม้ภาคตะวันออกปีนี้ลดลงจากปี 60 ร้อยละ 18.25 จากสภาพอากาศแปรปรวน

1400

business highlight online : 17 เมษายน 2561 นายสรวิศ ธานีโต โฆษกกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยถึงแนวทางบริหารจัดการผลไม้ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2561 ว่า กระทรวงเกษตรฯยังคงเน้นเรื่องคุณภาพ ปริมาณ และความปลอดภัยเป็นสำคัญ ควบคู่กับการสร้างมูลค่าเพิ่ม เช่น การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพผลผลิตสู่มาตรฐาน (GAP) และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ ส่งเสริมเกษตรกรให้รวมกลุ่มเพื่อผลิตไม้ผลในลักษณะแปลงใหญ่ อบรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี ส่วนในเชิงปริมาณ เช่น การเชื่อมโยงตลาดล่วงหน้า การจัดทำแผนบริหารจัดการผลผลิตส่วนเกิน เป็นต้น โดยจังหวัดภาคตะวันออกได้จัดทำรายละเอียดของแผนบริหารจัดการผลไม้ในพื้นที่โดยมีคณะกรรมการเพื่อแก้ไขปัญหาเกษตรกรอันเนื่องมาจากผลิตผลการเกษตรระดับจังหวัด (คพจ.) เป็นแกนหลักในการกลั่นกรองเชื่อมโยงบูรณาการแผนงานหรือโครงการ ในขณะที่การบริหารจัดการเรื่องคุณภาพของสินค้า โดยเฉพาะคุณภาพของทุเรียนที่ภาคตะวันออก เน้นให้ทั้งผู้ผลิตและผู้ค้า (ล้ง และ แม่ค้า) ตัด รับซื้อ และขายทุเรียนที่ได้อายุตัดตามมาตรฐาน มีการออกประกาศควบคุมและบทลงโทษของผู้กระทำผิด

ด้าน นายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร หรือ สศก. เปิดเผยข้อมูลการบูรณาการสำรวจจัดทำข้อมูลปริมาณการผลิตไม้ผล ปี 2561 ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 6 จังหวัดชลบุรี (สศท.6) และศูนย์สารสนเทศการเกษตรของ สศก. ร่วมกับคณะทำงานสำรวจข้อมูลไม้ผลเศรษฐกิจภาคตะวันออก วิเคราะห์ผลสำรวจ ในพื้นที่จังหวัดระยอง จันทบุรี และตราด เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวางแผนบริหารจัดการไม้ผลตั้งแต่ต้นฤดู

ผลสำรวจข้อมูลเอกภาพปี 2561 (ข้อมูล ณ 4 เมษายน 2561) พบว่า เนื้อที่ยืนต้นของไม้ผลทั้ง 4 ชนิด มีจำนวน 678,203 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีจำนวน 677,061 ไร่ (เพิ่มขึ้น 1,142 ไร่ หรือ ร้อยละ 0.17) โดยทุเรียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.56 ในขณะที่มังคุดลดลงร้อยละ 0.30 เงาะลดลงร้อยละ 1.63 และลองกองลดลงร้อยละ 8.97 ซึ่งการลดลดลงของมังคุด เงาะ และลองกอง เป็นการตัดโค่น สางต้นออกเพื่อปลูกทุเรียนทดแทน

เนื้อที่ให้ผลของไม้ผลทั้ง 4 ชนิด มีจำนวน 615,172 ไร่ เพิ่มขึ้นจากปี 2560 ที่มีจำนวน 605,481 ไร่ (เพิ่มขึ้น 9,691 ไร่ หรือร้อยละ 1.60) โดยทุเรียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.32 มังคุดเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.49 ส่วนเงาะลดลงร้อยละ 0.94 และลองกองลดลงร้อยละ 6.89

ผลผลิตรวมทั้ง 4 สินค้า มีประมาณ 647,522 ตัน ลดลงจากปี 2560 ที่มีจำนวน 792,113 ตัน (ลดลง 144,591 ตัน หรือ ร้อยละ 18.25) ซึ่งผลผลิตรวมของทั้ง 4 สินค้าจะลดลงทุกชนิด โดย มังคุดลดลงมากที่สุด ร้อยละ 64.81 รองลงมาคือ ลองกอง ลดลงร้อยละ 32.05 เงาะลดลงร้อยละ 9.81 และทุเรียนลดลงร้อยละ 4.37 เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน ทั้งอากาศหนาว ร้อน และฝนตกสลับในแต่ละวัน ทำให้ไม้ผลปรับสภาพต้นไม่ทัน ไม่เอื้ออำนวยในการติดดอก ออกผล ไม้ผลออกใบอ่อนแทนการออกดอก ทั้งนี้ ผลผลิตจะออกมากช่วงปลายเดือนพฤษภาคมต่อเนื่องถึงต้นเดือนมิถุนายน

ผลผลิตต่อไร่ทั้ง 4 สินค้า ลดลงทุกสินค้า โดยผลผลิตต่อไร่ มังคุด ลดลงมากที่สุด ร้อยละ 65.34 รองลงมา คือ ลองกองลดลงร้อยละ 27 เงาะลดลงร้อยละ 8.94 และทุเรียนลดลงร้อยละ 8.31 เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนตั้งแต่ปลายปี 2560 ถึงต้นปี 2561 ในระยะที่ต้นไม้กำลังจะเริ่มติดดอก ออกผล ต้นไม้ปรับสภาพต้นไม่ทัน อีกทั้งในปีที่ผ่านมา มังคุดติดผลมาก และติดผลล่าช้า จึงพักสะสมอาหาร และคาดการณ์ปีนี้จะออกดอกล่าช้า บวกกับสภาพอากาศแปรปรวน เป็นการออกใบอ่อนแทนการออก และส่วนหนึ่งต้นทุเรียนประสบปัญหาเชื้อราไฟทอปเธอราที่ระบาดในปี 2560 ทำให้ทุเรียนเป็นโรครากโคนเน่ายืนต้นตาย ขยายเป็นพื้นที่กว้างทั้งจังหวัดจันทบุรีและตราด โดยเฉพาะแหล่งผลิตใหญ่ในจังหวัดจันทบุรี ได้รับผลกระทบมากทำให้จำนวนต้นต่อไร่ที่ให้ผลผลิตได้ลดลง แม้จะมีต้นใหม่เริ่มให้ผลเพิ่มขึ้น ในปีนี้แต่ปริมาณการติดผลต่อต้นไม่มาก

อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในขณะนี้ สภาพดินฟ้าอากาศแปรปรวนในช่วงเดือนเมษายน มีพายุฤดูร้อนซึ่งอาจจะส่งผลกระทบกับไม้ผล ผลผลิตร่วงหล่นเสียหายเพิ่มเติมจากที่ผลวิเคราะห์ประมาณการผลผลิตไว้ในครั้งนี้ ซึ่งสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรจะได้ติดตามสถานการณ์ ความเสียหายจากภัยต่างๆที่จะกระทบกับปริมาณผลผลิตในภาพรวมต่อไป

การเกษตร : ก.เกษตรเผยผลไม้ภาคตะวันออกปีนี้ลดลงจากปี 60 ร้อยละ 18.25 จากสภาพอากาศแปรปรวน

business highlight online : post 18 เมษายน 2561 เวลา 09.44 น.