FETCO เผยดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน “ซบเซา” ในรอบ 8 เดือน เหตุปัจจัยการเมืองฉุด

163

business highlight online : 7 มิถุนายน 2566 FETCO เผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนปรับลงสู่เกณฑ์ “ซบเซา” ปัจจัยฉุดจากปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจในประเทศถดถอย มองจัดตั้งรัฐบาลและท่องเที่ยวฟื้นตัว เป็นปัจจัยหนุน

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index : ICI) เดือน พ.ค.2566 (สำรวจระหว่างวันที่ 22—31 พ.ค. 2566) พบว่าในอีก 3 เดือนข้างหน้า ICI อยู่ที่ระดับ 77.70 ปรับลดลง 26.8% จากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” เป็นครั้งแรกในรอบ 8 เดือน โดยนักลงทุนมองว่าการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งจะเป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด รองลงมาคือการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ สำหรับปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ ปัญหาการเมืองหลังการเลือกตั้ง รองลงมาคือการถดถอยของเศรษฐกิจในประเทศ และการเก็บภาษีตลาดทุน

สำหรับผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) เดือน พ.ค. 2566 พบว่าดัชนีความเชื่อมั่นรวมทุกกลุ่มนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า (ส.ค.2566) อยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา” (ช่วงค่าดัชนี 40-79) ลดลง 26.8% จากเดือนก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 77.70

ความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และกลุ่มนักลงทุนสถาบัน อยู่ในเกณฑ์ “ทรงตัว”  ในขณะที่ความเชื่อมั่นกลุ่มนักลงทุนบุคคล และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศอยู่ในเกณฑ์ “ซบเซา”

หมวดธุรกิจที่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดธนาคาร (BANK)

หมวดธุรกิจที่ไม่น่าสนใจมากที่สุด คือ หมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ (PETRO)

ปัจจัยหนุนที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ การจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง

ปัจจัยฉุดที่มีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทยมากที่สุด คือ ปัญหาการเมืองหลังการเลือกตั้ง

สำหรับผลสำรวจรายกลุ่มนักลงทุน พบว่า มีเพียงความเชื่อมั่นนักลงทุนกลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ปรับเพิ่มขึ้น 14.3% อยู่ที่ระดับ 100.00 ขณะที่กลุ่มอื่นปรับลดลง โดยนักลงทุนบุคคลปรับลด 24.0% อยู่ที่ระดับ 73.61 กลุ่มนักลงทุนสถาบันในประเทศปรับลด  18.5% อยู่ที่ระดับ 91.67 และกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศปรับลด 40.0% อยู่ที่ระดับ 75.00

SET Index ในครึ่งแรกของเดือน พ.ค.2566 ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่ 14 พ.ค.2566 สวนทางกับตลาดหุ้นโลกที่ปรับตัวลงจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลกและความล่าช้าในการยกระดับเพดานหนี้สาธารณะ  อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งหลังของเดือน SET Index ปรับตัวลงมากกว่าตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก จากความกังวลต่อปัญหาเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งและนโยบายเศรษฐกิจ และกลับมาปรับขึ้นในช่วงปลายเดือนหลังจากมีความชัดเจนเกี่ยวกับ MOU ในการจัดตั้งรัฐบาลผสม  โดย ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2566 SET index ปิดที่ 1,533.54 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% จากเดือนก่อนหน้า  นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 กว่า 33,047 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปี 2566 นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิรวม 97,006 ล้านบาท ปริมาณซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน พ.ค.2566 อยู่ที่ 54,819 ล้านบาท

ดังนั้น ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตามได้แก่ สถานการณ์เงินเฟ้อในประเทศเศรษฐกิจหลักทั่วโลกที่อาจกลับมาเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี อาจกดดันให้ธนาคารกลางแต่ละประเทศต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มเติม และส่งผลกระทบต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงปัญหาความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงอยู่  อีกทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่วนปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ ความรวดเร็วในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งหากล่าช้าจะส่งผลกระทบต่อการอนุมัติร่าง พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจำปี  2567 รวมถึงความชัดเจนในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่ได้ประกาศออกมา อาทิ นโยบายกระตุ้นการบริโภค นโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ และนโยบายพลังงาน เช่น การปรับลดค่าไฟ รวมถึงนโยบายด้านภาษี

Advertisement