ระเบียบร่วมลงทุนงานวิจัยรัฐ-เอกชน บังคับใช้แล้ว นำงานวิจัยใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์

164

business highlight online : 2 สิงหาคม 2566 คลอดแล้ว! ระเบียบส่งเสริมรัฐบาล-เอกชนร่วมลงทุน นำงานวิจัยใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ หนุนสตาร์ทอัพ-สมาร์ทเอสเอ็มอี เติบโต

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลให้สถาบันอุดมศึกษาและสถาบันวิจัยนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อช่วยเกษตรกรและชุมชน หรือเพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคม ล่าสุดวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ระเบียบสำนักนำยกรัฐมนตรี ว่าด้วยการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในโครงการซึ่งนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ มีผลบังคับใช้แล้ว

พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 ประกอบมาตรการ 31 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2562 ส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาของรัฐ สถาบันวิจัย และหน่วยงานของรัฐที่มีภารกิจและวัตถุประสงค์ด้านการวิจัย และนวัตกรรม หน่วยงานอื่นของรัฐตามที่สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ กำหนด

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า สาระสำคัญ ระเบียบร่วมลงทุนฯ ได้กำหนดวัตถุประสงค์การร่วมทุนเพื่อนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ ได้แก่ 1) เพื่อใช้ในเชิงพาณิชย์ เชิงสังคม หรือเชิงสาธารณประโยชน์ 2) เพื่อสร้างความเป็นหุ้นส่วนระหว่างรัฐและเอกชน และ 3) เพื่อสร้างธุรกิจฐานเทคโนโลยีและนวัตกรรมรายใหม่ ซึ่งลักษณะโครงการร่วมลงทุน ครอบคลุมโครงการที่นำผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่มีความพร้อมไปใช้ดำเนินการ หรือเป็นโครงการที่มีอยู่แล้วและนำไปศึกษาต่อยอด หรือนำไปขยายผลให้เกิดการใช้ประโยชน์ในวงกว้าง

สำหรับรูปแบบการร่วมลงทุน ระบุว่า หน่วยงานเจ้าของโครงการร่วมลงทุน สามารถร่วมลงทุนกับเอกชน 1) จัดตั้งบริษัทร่วมทุนที่เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทมหาชน 2) จัดตั้งนิติบุคคลเพื่อร่วมลงทุน (Holding Company) หรือ 3) จัดตั้งนิติบุคคลเพื่อร่วมลงทุนใน ‘วิสาหกิจเริ่มต้น’ หรือ สตาร์ทอัพ (Startup) มีวัตถุประสงค์ในการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์ได้

การอนุมัติโครงการร่วมลงทุน ต้องพิจารณาความสอดคล้องของนโยบายร่วมลงทุน ข้อเสนอ เงื่อนไข ความเป็นไปได้ทางธุรกิจ แผนธุรกิจ และแผนการจัดการความเสี่ยง รวมถึงความพร้อมของผู้ร่วมทุนและประสบการณ์ โดยหน่วยงานเจ้าของโครงการต้องจัดทำสัญญาร่วมลงทุนกับเอกชนที่ต้องผ่านการตรวจพิจารณาจากสำนักงานอัยการสูงสุด พร้อมทั้งการติดตามและประเมินผลโครงการ ซึ่งต้องกำหนดตัวชี้วัดที่แสดงให้เห็นความคุ้มค่าของการลงทุน และประสิทธิภาพในการบริหารการลงทุน และประเมินผลตามหลักเกณฑ์ที่หน่วยงานเจ้าของโครงการกำหนด

สำหรับวิธีการคัดเลือกเอกชนมาร่วมลงทุน 1) คัดเลือกจากเอกชนอย่างน้อย 3 ราย ที่เข้ายื่นข้อเสนอร่วมลงทุน โดยยึดหลักเกณฑ์การคัดเลือกด้วยความโปร่งใสและเป็นธรรม โดยเอกชนที่ได้รับการคัดเลือกต้องมีคุณสมบัติ ประสบการณ์ ความพร้อม และความสามารถในการเข้าร่วมลงทุนเหมาะสมตามเกณฑ์ (2) ใช้วิธีการเฉพาะเจาะจง โดยหน่วยงานเจ้าของโครงการเชิญชวนเฉพาะเอกชน ซึ่งมีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขที่กำหนดรายใดรายหนึ่งให้เข้ายื่นข้อเสนอ

ระเบียบดังกล่าว ยังกำหนดว่า เพื่อให้การดำเนินการจัดตั้งและดำเนินงานของบริษัทร่วมทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และมีโอกาสประสบความสำเร็จในการขยายธุรกิจในอนาคต หน่วยงานเจ้าของโครงการอาจดำเนินการ ดังต่อไปนี้ (1) ส่งเสริมให้บุคลากรในหน่วยงานเจ้าของโครงการไปวิจัยหรือสร้างนวัตกรรมในบริษัทร่วมทุน (2) ส่งเสริมให้บุคลากรในหน่วยงานเจ้าของโครงการไปบริหารหรือปฏิบัติงานในบริษัทร่วมทุนได้ตามความเหมาะสม (3) ส่งเสริมให้ผู้เรียนในหน่วยงานเจ้าของโครงการซึ่งเป็นสถานศึกษาไปศึกษา วิจัย สร้างนวัตกรรม หรือปฏิบัติงานอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อการศึกษาในหลักสูตรโดยตรง (4) ให้ใช้สถานที่ โครงสร้างพื้นฐาน ห้องปฏิบัติการ เครื่องมือหรืออุปกรณ์ หรือสิ่งอื่นในทำนองเดียวกันของหน่วยงานเจ้าของโครงการ โดยไม่มีค่าบริการ หรือมีค่าบริการอัตราพิเศษก็ได้ (5) ให้ใช้บริการของหน่วยงานเจ้าของโครงการ โดยไม่มีค่าบริการ หรือมีค่าบริการอัตราพิเศษก็ได้ (6) จัดซื้อหรือจัดจ้างสินค้าหรือบริการจากบริษัทร่วมทุน ในกรณีที่สินค้าหรือบริการนั้น มีคุณภาพ มาตรฐานที่แข่งขันได้ในท้องตลาด และมีราคาที่เหมาะสม ทั้งนี้ ตามบัญชีนวัตกรรมไทย (7) การส่งเสริมอื่นที่สภานโยบายฯ ประกาศกำหนด

“ระเบียบดังกล่าวจะทำให้งานวิจัยต่างๆ ไปใช้ประโยชน์ได้อย่างมาก จะช่วยเพิ่มรายได้และโอกาสจากการนำผลงานวิจัยไปเป็นฐานในการผลิตและบริการ เพิ่มจำนวนบริษัทเทคโนโลยีและนวัตกรรมของไทย กลุ่มสตาร์ทอัพ หรือกลุ่มสมาร์ทเอสเอ็มอี ขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจนวัตกรรม (Innovation Economy) ช่วยขับเคลื่อนการสร้าง IDE และขับเคลื่อนให้เกิดการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพิ่มมากขึ้น ตามเป้าหมายร้อยละ 2 ต่อจีดีพี” น.ส.ทิพานัน กล่าว

Advertisement