business highlight online : ช่วงก่อนวันสงกรานต์สองสามวัน ผมพาบุตรหลานไปเที่ยวทะเลที่ระยอง บังเอิญได้รับรู้เรื่องราวของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายหนึ่งที่ จ.ระยอง ซึ่งมีหัวจิตหัวใจรักที่จะทำอาชีพเกษตรกรเลี้ยงสัตว์ และมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้านการเกษตรให้ได้ตามฝัน
ขออนุญาตเอ่ยชื่อผู้ประกอบการรายนี้ คุณบุญสนอง ตัณยะสิทธิ์ ครับ
ผมไม่เคยรู้จักมักคุ้นหรือเคยเจอคุณบุญสนองมาก่อน แต่เมื่อได้ฟังเรื่องราวของคุณบุญสนองแล้ว ผมเกิดความเห็นใจเขามากๆ
ลองฟังเรื่องของเขาดูครับ
ปัจจุบันคุณบุญสนองทำธุรกิจเอสเอ็มอี โดยทำฟาร์มเลี้ยงไก่ เลี้ยงเป็ด และเลี้ยงจระเข้ ไปพร้อมๆกัน เหตุที่ทำฟาร์มเลี้ยงจระเข้ไปด้วย เพราะนอกจากจะเป็นอาชีพที่ไปได้สวยและมีรายได้ดีแล้ว คุณบุญสนองบอกว่า ยังเป็นการนำวัตถุดิบจากฟาร์มไก่เป็ด มาใช้ประโยชน์ในฟาร์มจระเข้ได้ด้วย กล่าวคือ หากเป็ดไก่ตาย ก็สามารถนำเป็ดไก่ที่ตาย มาเป็นอาหารเลี้ยงจระเข้ได้ด้วย
ปัจจุบันฟาร์มไก่ของคุณบุญสนองเลี้ยงไก่อยู่ประมาณ 250,000 ตัว ส่งไก่ขายให้โรงงานชำแหละขนาดใหญ่ของประเทศ ไก่มีคุณภาพตามมาตรฐานเป็นที่ยอมรับและต้องการของโรงงานขนาดใหญ่
ส่วนเป็ดเลี้ยงอยู่ประมาณ 100,000 ตัว เป็นเป็ดเกรด A ส่งขายให้กับร้าน MK และส่งออกต่างประเทศ ขณะที่จระเข้เลี้ยงอยู่ประมาณ 9,000 ตัว ส่งขายให้โรงงานหนังและโรงงานรับซื้อเนื้อจระเข้
ธุรกิจเกษตรเลี้ยงสัตว์ของคุณบุญสนองไปได้ดีทุกตัว ทั้งเป็ด ไก่ จระเข้ มีลูกค้าที่แน่นอนรองรับ มีรายได้ มีกำไร
คุณบุญสนองพาผมไปดูฟาร์มเป็ด ไก่ จระเข้ ของเขา ตั้งอยู่ในที่ดินของเขา อยู่ในป่าสวนยาง ห่างไกลจากบ้านเรือนผู้คน ไม่ก่อมลพิษให้กับใคร ผมเห็นฟาร์มของเขาแล้ว รู้สึกทันทีเลยว่าเขาตั้งใจทำจริงมาก แม้ว่าสภาพของฟาร์มจะยังไม่ครบเครื่องทันสมัยเต็มร้อย แต่ก็อยู่ในขั้นมีมาตรฐานถูกต้อง
ผมเล่าถึงตรงนี้ ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่า ก็ในเมื่อทุกอย่างมันดี แล้วมันมีปัญหาตรงไหนล่ะ ที่ทำให้ผมไปสงสารเห็นใจเขา
เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ คุณบุญสนองถูกแบงก์เอกชนสองแห่งลอยแพ ผมใช้คำว่าลอยแพ เพราะมันตรงกับข้อเท็จจริงและเห็นภาพชัดดี ทำให้เขาต้องไปเป็นหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้นอีกทาง นอกเหนือจากหนี้แบงก์
ประมาณปี 2556-2557 คุณบุญสนองเริ่มศึกษาจากประสบการณ์ตัวเอง และการเรียนรู้เพิ่มเติมเพื่อทำฟาร์มเลี้ยงเป็ด ไก่ จระเข้ โดยเตรียมการถึง 2 ปีเต็มจนแน่ใจทุกอย่าง รวมถึงหาตลาดหาลูกค้ารองรับไว้แล้ว
พอปี 2558 ก็ทำโครงการขอกู้จากแบงก์กสิกรไทย จำนวน 85 ล้านบาท แต่แบงก์กสิกรบอกให้คุณบุญสนองลงทุนล่วงหน้าทำเองไปก่อน แล้วจะพิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้ตามหลัง คุณบุญสนองเชื่อแบงก์และมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะทำอยู่แล้ว จึงลงทุนด้วยทุนตัวเองไป 30 ล้านบาท ระหว่างนั้นแบงก์กสิกรก็ส่งเจ้าหน้าที่มาดูความคืบหน้าโครงการคุณบุญสนองอยู่มิได้ขาด แต่แล้วจู่ๆวันหนึ่งฝ่ายสินเชื่อในพื้นที่ก็มาบอกว่า สำนักงานใหญ่ไม่อนุมัติสินเชื่อ คุณบุญสนองตอนนั้นซึ่งลงทุนด้วยเงินตัวเองไปจนหมดตัวแล้วก็คว้างสิครับ ผู้ประกอบการลูกทุ่งอย่างเขาย่อมไม่เคยคิดว่าคำพูดของแบงก์จะเชื่อไม่ได้ ถ้าบอกกันก่อนว่าจะไม่ให้สินเชื่อ เขาคงไม่กล้าลงทุนจนหมดตัว ที่กล้าลงทุน เพราะคิดว่าจะได้สินเชื่อแบงก์มาดำเนินโครงการต่อ
เมื่อไม่ได้สินเชื่อจากแบงก์กสิกร เขาก็วิ่งหาแบงก์อื่นมาสนับสนุนโครงการ มีหลายแบงก์สนใจ แต่ในที่สุดเขาก็เอาแบงก์กรุงเทพ
แบงก์กรุงเทพให้สินเชื่อมา 40 ล้านบาท จากที่ขอกู้ไป 85 ล้านบาท ต่อจากนั้นก็หยุดให้สินเชื่อไปเฉยๆ โดยอ้างผลประกอบการ และรายได้ ทั้งที่ความจริง ผลประกอบการเขาดี มีรายได้แน่นอน และมีกำไร เมื่อเขาไม่ได้สินเชื่อจากแบงก์มาดำเนินโครงการให้แล้วเสร็จ เขาจึงหันไปกู้ยืมเงินนอกระบบ เพื่อเดินธุรกิจต่อด้วยตนเอง หลังจากที่ลงทุนลงแรงของตนและการเป็นหนี้แบงก์มาแล้ว จึงยอมแพ้ไม่ได้ อาศัยว่าเป็นคนประวัติดี และคนเห็นถึงความตั้งใจ เขาจึงกู้เงินนอกระบบมาทำโครงการได้ถึง 55 ล้านบาท
แต่ผลที่ตามมาคือ รายได้ กำไร ทุกบาททุกสตางค์ หลังหักต้นทุนและค่าแรงงานแล้ว ต้องถูกนำไปใช้หนี้ดอกเบี้ยเงินกู้นอกระบบตลอดมา ตั้งแต่ปี 2558-2560 เป็นจำนวนดอกเบี้ยกว่า 20 ล้านบาท และทำให้ไม่มีเงินเหลือไปชำระหนี้เงินกู้แบงก์กรุงเทพ ส่งผลให้แบงก์กรุงเทพฟ้อง และอยู่ในระหว่างปรับโครงสร้างหนี้ในขณะนี้
คุณบุญสนองถามผมว่า เขาผิดอะไร จึงต้องเผชิญชะตากรรมแบบนี้
ผิดที่ตั้งใจมุ่งมั่นจะเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีด้านการเกษตรหรือ?
ผิดที่ทำธุรกิจผิดพลาดขาดทุนหรือ? ก็เปล่า ธุรกิจของเขามีรายได้ มีกำไร มีอนาคต มีตลาดรองรับ มีฟาร์มที่พร้อมในการผลิต และที่ผ่านมาหลายปีจนถึงขณะนี้ ท่ามกลางอุปสรรคต่างๆนานา เขาก็ยังทำการผลิตอย่างต่อเนื่องไม่เคยหยุด แม้ฟาร์มจะยังไม่เต็มร้อยเนื่องจากขาดแคลนเงินทุนที่จะทำให้สมบูรณ์
ผิดที่เขากล้าลงทุนจนหมดตัว และกู้หนี้ยืมสินนอกระบบ เพื่อเดินธุรกิจต่อ และเพื่อแสดงให้แบงก์ทั้งหลายเห็นว่าธุรกิจของเขาไปได้หรือ?
หรือผิดที่แบงก์ไม่จริงใจ และละทิ้งเขา?
ผมฟังเขาถามแล้วก็ได้แต่อึ้ง พูดไม่ออก
หลังจากหมดที่พึ่งกับแบงก์เอกชน เขาก็ไม่งอมืองอเท้า ทำทุกอย่างที่นึกออก เดินทางจากระยองมายื่นหนังสือขอความช่วยเหลือความเห็นใจจากนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หลายครั้ง จนนักข่าวทำเนียบฯจำได้และสงสาร อาสาพาไปยื่นหนังสือตามตึกต่างๆในทำเนียบ แต่ทุกอย่างก็เงียบ
มานั่งรอขอเข้าพบรองนายกฯสมคิด ครั้งละ 7 ชั่วโมง เพื่อขอเข้าไปเล่าความเดือดร้อนให้ฟัง แต่ไม่มีใครพาให้เข้าไปพบ ซึ่งผมคิดว่าคงไม่มีใครไปบอกรองนายกฯสมคิดมากกว่า หากมีเจ้าหน้าที่ไปบอก ผมเชื่อว่ารองนายกฯสมคิดคงยินดีให้พบเพื่อรับฟังปัญหา เพราะรองนายกฯสมคิดให้ความสำคัญกับการให้ความช่วยเหลือเอสเอ็มอีมากๆ
หน่วยงานไหน ธนาคารรัฐแห่งไหน บอกว่ามีโครงการช่วยเหลือเยียวยาฟื้นฟูเอสเอ็มอี เขาไปมาหมด แต่ทุกอย่างว่างเปล่า
เดินทางกลับระยองไปเลี้ยงเป็ด ไก่ จระเข้ต่อ โดยไม่ย่อท้อ ถ้าเป็นคนอื่นอาจฆ่าตัวตายไปแล้ว หรือหมดอาลัยตายอยากเลิกทำไปแล้ว แต่คุณบุญสนองยังสู้
ถ้าเขาได้แบงก์รัฐเข้ามาช่วยโอบอุ้มเขา ปล่อยเงินกู้ให้เขา เพื่อเคลียร์หนี้แบงก์เอกชน และเคลียร์หนี้นอกระบบ เพื่อเป็นหนี้ทางเดียว และนำรายได้ ผลกำไร มาจ่ายหนี้ทางเดียว จะใช้วงเงินกู้ประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาเขาเอากำไร 3 ปี 20 ล้านบาท ไปจ่ายดอกเงินกู้นอกระบบ ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากรายได้กำไร เขาสามารถชำระหนี้แบงก์รัฐ 100 ล้านบาทหมดได้ภายในประมาณ 15 ปีเท่านั้น หรือเร็วกว่านั้นหากเพิ่มศักยภาพกำลังการผลิต
ผมเอาเรื่องราวของคุณบุญสนองมาเผยแพร่ เพื่ออยากให้ท่านรองนายกฯสมคิดหรือรัฐบาล รวมทั้งนายธนาคารทั้งหลายทราบว่า ยังมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอีกไม่น้อย หรืออาจเป็นจำนวนมาก ที่เขาต่อสู้ด้วยตัวเอง และธุรกิจของเขาก็ไปได้ดี เป็นนักสู้เอสเอ็มอีตัวจริง ไม่ว่าจะเลือดตากระเด็นขนาดไหนก็ตาม ซึ่งคนเหล่านี้ควรที่รัฐหรือธนาคารควรยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือดูแลเขาเป็นอย่างดี
อย่าให้เขาต้องล้มลงตายไปเสียก่อน แล้วค่อยไปงัดฝาโลง เพื่อเอาเขามาปลุกผีช่วยเหลือ ซึ่งถึงตอนนั้นมันอาจปลุกได้แต่ร่าง ส่วนวิญญาณการต่อสู้คงล่องลอยไปไหนๆแล้ว
พูลเดช กรรณิการ์-รายงาน
SMEs : “รองนายกฯสมคิดช่วยด้วย ผมยังไม่ตาย แต่ถูกทำเหมือนคนตายแล้ว”
business highlight online : post 16 เมษายน 2561 เวลา 16.04 น.