ธอส.ครึ่งปีแรกปล่อยกู้ใหม่ 111,796 ล้านบาท

63

business highlight online : 23 กรกฎาคม 2566 6 เดือนแรกของปี  66  ธอส. ปล่อยกู้ใหม่   111,796 ล้านบาท  ไม่หวั่น NPL ร้อยละ 4.27  ตั้งสำรองเผื่อหนี้สูญ  138,452 ล้านบาท

นายกฤษณ์ เสสะเวช กรรมการธนาคาร และรักษาการกรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า  ผลการดำเนินงาน ณ ไตรมาส  2 ของปี 2566  เมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว รายได้ของประชาชนดีขึ้น  เริ่มกลับมาตัดสินใจซื้อบ้าน  ส่งผลให้ ยอดปล่อยสินเชื่อใหม่  89,030 บัญชี วงเงิน 111,796 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 47.48  ของเป้าหมายสินเชื่อปล่อยใหม่ ทั้งปี  66  วงเงิน  235,480 ล้านบาท   มีกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลางวงเงินกู้ไม่เกิน 2.5 ล้านบาท จำนวน 49,908 ราย  มีผลกำไรสุทธิ  6,534 ล้านบาท

ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 เทียบกับ ณ สิ้นปี 2565 ธอส. มียอดสินเชื่อคงค้างรวม 1.64 ล้านล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.65  สินทรัพย์รวม 1.69  ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.97  เงินฝากรวม 1.44 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.27  หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) จำนวน  70,045 ล้านบาท หรือร้อยละ  4.27  ของยอดสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.53  จากสิ้นปี 2565 ที่มี NPL ร้อยละ  3.74 ของยอดสินเชื่อรวม   ธอส. ได้มีตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สูญจำนวน   138,452 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนต่อ NPL สูงถึงร้อยละ 197.66  สะท้อนความมั่นคงและความพร้อมของธอส.   สัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(BIS Ratio) ยังอยู่ในระดับแข็งแกร่งร้อยละ  15.29  สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำที่ ธปท. กำหนด

ธอส. ยังปล่อยสินเชื่อใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง   โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง อาทิ โครงการบ้านล้านหลัง  เฟส 3   รายย่อยยังสนใจจำนวนมาก เพราะดอกเบี้ยต่ำ  3% ต่อปี  นานถึง 5 ปีแรก  ล่าสุดวันที่ 20 กรกฎาคม  66  ลูกค้ามายื่นขอสินเชื่อ  7,700 ราย คิดเป็นวงเงินสินเชื่อ 8,021 ล้านบาท  อนุมัติสินเชื่อแล้ว 6,882 ราย วงเงินสินเชื่อ 6,895 ล้านบาท โดยผู้ที่สนใจสามารถขอรหัสเข้าร่วมโครงการได้ ผ่าน Mobile Application : GHB ALL GEN โดยจะได้รับรหัส 10 หลัก (ตัวอักษร 3 หลัก และตัวเลข 7 หลัก) เพื่อนำมาประกอบการยื่นขอสินเชื่อภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2568 หรือปิดก่อนกำหนดหากเต็มกรอบวงเงินโครงการ

ธอส. คาดว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ในช่วงครึ่งปีหลังได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้  235,480 ล้านบาท เนื่องจากจะส่งมอบและโอนกรรมสิทธิ์  ในช่วงท้ายของปีเป็นจำนวนมาก และ มาตรการสนับสนุนจากรัฐบาลถึงวันที่ 31 ธันวาคม2566 อาทิ ลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ จากอัตราปกติร้อยละ 2  เหลือร้อยละ 1  และลดค่าธรรมเนียมการจดจำนอง จากอัตราปกติร้อยละ 1  เหลือร้อยละ 0.01  สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท” นายกฤษณ์ กล่าว

สำหรับการดูแลลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้จาก COVID-19 ธอส.ได้ขยายเวลาลงทะเบียนมาตรการ 23 [M23] : สำหรับลูกค้าสถานะ NPL กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปี หรือลูกค้าที่มีสถานะเป็น NPL ที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการช่วยเหลือหรืออยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ของธนาคาร ให้ได้รับ ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง โดยลูกค้าที่เข้าร่วม M23 สามารถเลือกรับความช่วยเหลือตามความสามารถในการ   ผ่อนชำระได้นานสูงสุด 2 ปี สำหรับลูกค้าที่มีความประสงค์เข้าร่วม M23 สามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์   เข้าร่วมมาตรการพร้อมทั้ง Upload เอกสารให้ธนาคารพิจารณาผ่านทาง Application : GHB ALL BFRIEND ได้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม2566

สำหรับแผนดำเนินงาน  หลังจาก ธอส. ได้ออกและเสนอขายพันธบัตรเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bond) มูลค่า8,500 ล้านบาท และพันธบัตรเพื่อพัฒนาสังคม (Social Bond) มูลค่า 4,000 ล้านบาท โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน ดังนั้นในอนาคต ธอส. จึงมีแผนในการออกพันธบัตรด้านความยั่งยืน (ESG Bond) อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ ธอส. เป็นธนาคารเพื่อความยั่งยืนอย่างครบวงจร ขณะเดียวกัน ธอส. ยังคงเดินหน้าสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดด้านดิจิทัลให้กับลูกค้า (Best Digital Experience) ตลอดเส้นทางการใช้บริการของลูกค้า (End-to-End Customer Journey) ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และปรับปรุงกระบวนการให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัลของธนาคารแบบครบวงจร

นอกจากนี้ ธอส. จะยังคงเดินหน้าพัฒนาการบริการให้กับลูกค้าผ่าน Mobile Application : GHB ALL GEN ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยคำนึงถึงความปลอดภัย รวมทั้งเพิ่มฟังก์ชันการให้บริการ อาทิ การขอสินเชื่อเพิ่ม, การลงนามทำสัญญาซื้อขายบ้านมือสอง ธอส. ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (NPA e-Contract), การขอรับเงินงวด/ การปลูกสร้าง/ต่อเติม, การขอหนังสือรับรองฐานะการเงินเพื่อประกอบการขอวีซ่า และการเชื่อมข้อมูลระหว่าง GHB ALL GEN กับ Application Line GHB Buddy เพื่อความสะดวกในการใช้บริการของลูกค้า เป็นต้น

Advertisement