“เศรษฐา” ฟิตจัด ประเดิมลงพื้นที่ภูเก็ต ขับเคลื่อนการท่องเที่ยว-พัฒนาจังหวัด

79

business highlight online : 25 สิงหาคม 2566 ภูเก็ต-การเดินทางลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต เป็นพื้นที่แรกหลังเข้ารับตำแหน่งของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากทุกภาคส่วนในภูเก็ต ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวมองเป็นโอกาสดีที่นายกฯ ลงมารับฟังปัญหาและข้อเสนอแนะด้วยตัวเอง เพราะคาดว่าการท่องเที่ยวในไตรมาส 4 การท่องเที่ยวภูเก็ตจะเติบโตเป็นอย่างมาก

การเดินทางลงพื้นที่ จ.ภูเก็ต ของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะทำงานด้านการท่องเที่ยว ในวันนี้ เป็นไปอย่างอบอุ่น ตั้งแต่ช่วงสายเป็นต้นมาที่ท่าอากาศยานภูเก็ต ซึ่งนายเศรษฐาได้พบกับผู้อำนวยการท่าอากาศยานภูเก็ต และผู้บริหารท่าอากาศยาน มีการพูดคุยกันถึงการขยายสนามบินภูเก็ต รวมถึงการสร้างสนามบินภูเก็ตแห่งที่ 2 ขึ้นใน จ.พังงา บริเวณพื้นที่ของ ต.หล่อยูง ต.ตะกั่วทุ่ง และ ต.โคกกลอย เพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าสู่ภูเก็ตเพิ่มขึ้น

นายกรัฐมนตรีบอกว่าจะรวบรวมข้อมูลที่ได้ทั้งหมดเพื่อส่งให้กับสภาพัฒน์ฯ พิจารณาอีกครั้ง โดยที่จุดนี้ผู้สื่อข่าวถามถึงสาเหตุที่นายกรัฐมนตรีเลือกเดินทางลงพื้นที่ภูเก็ตเป็นแห่งแรก นายกฯ บอกว่าเป็นเพราะภูเก็ตเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น การท่องเที่ยวถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้นได้ดีที่สุดในยุคที่เศรษฐกิจถดถอย

เมื่อถามว่าการมาภูเก็ตในวันนี้เป็นการบอกเป็นนัยๆ หรือไม่ว่าพรรคเพื่อไทยจะรับหน้าที่ดูแลกระทรวงท่องเที่ยวฯ เอง ควบกับกระทรวงที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรียิ้มปนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี ไม่ได้ตอบคำถาม แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ซึ่งข้างๆ มีนางสาวสุดาวรรณ และนายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ที่ถูกคาดหมายว่าจะเป็นรัฐมนตรีท่องเที่ยวฯ และเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ยืนอยู่ด้วย

นายกรัฐมนตรี บอกว่า ทั้งสองคนนี้เป็นคนของตน อยู่ในการดูแลของตน ส่วนเรื่องโควตารัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีบอกว่าในส่วนของพรรคเพื่อไทย ตอนนี้นิ่งแล้ว แต่ต้องให้เกียรติพรรคร่วมรัฐบาล เพราะตอนนี้ยังไม่นิ่ง แต่เชื่อว่าทุกอย่างจะนิ่งและทราบผลเป็นที่ชัดเจนภายใน 3-4 วันนี้

ต่อจากนั้นช่วงบ่ายนายกรัฐมนตรีเดินทางไปร่วมประชุมกับผู้ประกอบการท่องเที่ยวใน จ.ภูเก็ต โดยผู้ประกอบการท่องเที่ยวมีการสะท้อนปัญหาและนำเสนอยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัดใน 10 ประเด็น ต่อนายกรัฐมนตรี จากนั้นเดินทางลงพื้นที่ชุมชนย่านเมืองเก่าภูเก็ต รวมถึงชิมเมนูหมี่ผัดฮกเกี้ยน อาหารพื้นถิ่นขึ้นชื่อของภูเก็ต

นายก้องศักดิ์ คู่พงศกร ประธานหอการค้าจังหวัดภูเก็ต ระบุว่า ประเด็นเร่งด่วนที่ทีมเอกชนเสนอต่อนายกรัฐมนตรีวันนี้คือ การแก้ไขปัญหาระบบโครงสร้างพื้นฐานและระบบคมนาคมขนส่งในพื้นที่ เพื่อให้สอดรับกับการเติบโตทางการท่องเที่ยว ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ เนื่องจากขณะนี้ภูเก็ตกำลังเผชิญกับปัญหาเรื่องรถติดอย่างหนัก โดยทางบกมีการเสนอให้เร่งสร้างถนนเส้นใหม่จากสนามบินภูเก็ต โดยมีส่วนขยายที่เชื่อมกับอุโมงค์ทางลอดป่าตอง ซึ่งเป็นโครงการที่มีความล่าช้ามาอย่างยาวนาน การสร้างจุดตัดใหม่จากสนามบิน เพื่อช่วยระบายรถบริเวณถนนเทพกระษัตรี ซึ่งเป็นเส้นทางหลักที่เข้าออกเมืองภูเก็ต ส่วนการเชื่อมโยงทางน้ำ ภาคเอกชนเสนอให้มีการสร้างท่าเรือเฟอร์รีที่อ่าวปอ ที่จะสามารถนำรถขนลงเรือข้ามไปยัง จ.พังงา และ จ.กระบี่ ได้ หากทำได้สำเร็จจะช่วยย่นระยะเวลาการเดินทางจากภูเก็ตไปพังงาและกระบี่ ได้ราว 1-2 ชั่วโมง

ส่วนทางอากาศที่นายกรัฐมนตรีรับปากว่าจะผลักดันการสร้างสนามบินภูเก็ตแห่งที่ 2 ที่ จ.พังงา ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะจะทำให้สนามบินแห่งที่ 1 และแห่งที่ 2 สามารถซัพพอร์ตกันและกันได้

อย่างไรก็ตาม ภาคเอกชนอาจมีข้อกังวลอยู่บ้างเกี่ยวกับประเด็นทำเลที่ตั้งของสนามบินแห่งที่ 2 ที่อยู่ไม่ไกลกันมากกับสนามบินแห่งที่ 1 อาจทำให้การจัดการจราจรทางอากาศทำได้ยาก ซึ่งทราบว่าจะต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยในการเข้ามาช่วย ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องใช้งบประมาณและการลงทุนที่สูง แต่หากทุกอย่างสามารถทำได้จะส่งผลดีต่อทั้งการท่องเที่ยวของภูเก็ตและการท่องเที่ยวในฝั่งอันดามันที่เชื่อมโยงถึงกัน

นอกจากนี้ประธานหอการค้าจังหวัดภูเก็ต ระบุว่าภาคเอกชนได้เสนอเรื่องการผลักดันให้ภูเก็ตเป็นศูนย์กลางของโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งปัจจุบันมีโรงเรียนนานาชาติตั้งอยู่ทั้งสิ้น 12 แห่ง และมีโครงการจะเปิดเพิ่มอีก 2-3 แห่ง แต่ยังติดขัดปัญหาเรื่องวีซ่าของผู้ปกครอง ครู และนักเรียน หากรัฐบาลช่วยแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้จะเป็นเรื่องที่ดีมาก

เช่นเดียวกับการแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับเมืองท่องเที่ยวของภูเก็ต ระยะสั้นในช่วง 10 ปี อาจใช้การผันน้ำจากพังงาเข้ามายังภูเก็ต และในระยะยาว ภาคเอกชนเสนอให้รัฐบาลใช้น้ำท้ายเขื่อนจากเขื่อนรัชชประภามายังภูเก็ต ซึ่งจะทำให้ จ.พังงา ได้อานิสงส์ด้วย ทั้งหมดนี้หากสามารถทำได้จะทำให้การท่องเที่ยวของภูเก็ตเติบโตขึ้นมาก และทำรายได้เพิ่มขึ้น จากเดิมปีละ 4-5 แสนล้านบาท อาจจะเพิ่มสูงขึ้นได้ถึง 1 ล้านล้านบาท

นายกรัฐมนตรีรับปากว่าจะนำทุกปัญหาและข้อเสนอแนะไปรวบรวมจัดทำเป็นนโยบาย เพื่อขับเคลื่อนการท่องเที่ยวของ จ.ภูเก็ต ขอให้ผู้ประกอบการทุกคนสบายใจว่าแม้ภูเก็ตจะไม่มี ส.ส. ของพรรคเพื่อไทยเลยแม้แต่ที่นั่งเดียว แต่จะไม่เป็นอุปสรรคสำหรับการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวอย่างแน่นอน

ด้านนายธเนศ ตันติพิริยะกิจ นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต ระบุว่า ทางสมาคมท่องเที่ยวเสนอให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาเรื่องฟรีวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยว เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้าสู่ภูเก็ตและประเทศไทยได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากจีน ซึ่งอดีตก่อนการแพร่ระบาดโควิด-19 นักท่องเที่ยวจีนเดินทางเข้าสู่ภูเก็ตเป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันเดินทางกลับเข้ามาในภูเก็ตแค่เพียง 30% เท่านั้น หากฟรีวีซ่าจะเป็นการดึงดูดใจให้เดินทางกลับเข้ามาในไทยเพิ่มขึ้น รวมถึงเสนอให้มีการขยายระยะเวลาของวีซ่าให้กับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นด้วย ทั้งจากคาซัคสถาน อุซเบกิสถาน และอิสราเอล ที่เดิมอยู่ในไทยได้แค่เพียง 15 วัน ให้เพิ่มขึ้นเป็น 1 เดือน เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายจากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ หลังจากที่ผ่านมาพบว่านักท่องเที่ยวจากคาซัคสถาน อุซเบกิสถาน เดินทางเข้าสู่ภูเก็ตเพิ่มขึ้นถึง 600-700% ในช่วงหลังโควิด-19

ส่วนประเด็นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท และ 25,000 บาท สำหรับนักศึกษาจบใหม่ นายกสมาคมธุรกิจการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต มองว่าสามารถทำได้ แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะถ้าเร็วเกินไปจะเป็นการผลักภาระต้นทุนให้กับผู้ประกอบการ และทำให้กระทบกับการท่องเที่ยวโดยรวม

อย่างไรก็ตาม มีหลายตำแหน่ง หลายอาชีพในภูเก็ตที่ปัจจุบันลูกจ้างได้รับค่าแรงบวกกับเงินสวัสดิการต่างๆ ต่อวันมากกว่า 600 บาท และ 700 บาท อยู่แล้ว ดังนั้น จึงต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้การท่องเที่ยวสามารถเดินหน้าไปพร้อมกันได้

Advertisement