นายกฯ เผยผลการประชุมเอเปคและหารือผู้นำ  และขอบคุณ เจ้าสัวธนินท์ หนุนแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท

197

business highlight online : 19 พฤศจิกายน 2566 ไบเทค – นายกฯ พอใจผลประชุมเอเปคและหารือผู้นำ พรุ่งนี้เตรียมเรียกถกทีมงานสานต่อผลการเจรจา หวังดึงนักลงทุนย้ายฐานการผลิตมาไทย เผยเชิญ “โจ ไบเดน” เยือนไทยอย่างเป็นทางการ

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางเข้าร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจ เอเปค ณ ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เสร็จสิ้นว่า นายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้นำเขตเศรษฐกิจ ที่พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์แห่งซานฟรานซิสโก โดยมีผู้นำประเทศต่างๆ เข้าร่วม

ขณะนั่งรับประทานอาหารข้างกับนายโจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา และได้พูดคุยกัน ยืนยันว่าไทยพร้อมที่จะเป็นทางเลือกให้บริษัทใหญ่ของสหรัฐอเมริกาเข้ามาตั้งฐานผลิตที่ไทยเพื่อกระจายความเสี่ยง ซึ่งเห็นกันอยู่ว่าตอนนี้มีหลายประเทศเข้ามาร่วมลงทุนที่ไทย นอกจากนี้ยังถือโอกาสเชิญนายโจ ไบเดน เดินทางมาไทยโดยระบุว่าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกามาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการมากกว่า 10 ปีแล้ว จึงได้เรียนเชิญนายโจ ไบเดน มาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งหลังจากนี้กระทรวงการต่างประเทศก็จะประสานงานต่อไป

นายเศรษฐา เผยว่าได้พบกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน ประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดีกับไทย พูดคุยกันในหลายประเด็น ซึ่งสัมผัสได้ว่าประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เป็นคนที่มีพลังอบอุ่นและเป็นมิตร ตนเองยังได้แสดงความยินดี ผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 2 กลุ่มซี นัดแรก ที่ราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อวันที่ 16 พ.ย.66 ทีมชาติไทยแพ้ทีมชาติจีน 1-2 ซึ่งประธานาธิบดีสี จิ้นผิง บอกว่าน่าจะฟลุ๊กมากกว่า โดยท่านก็อวยพรให้ทีมไทยชนะและผ่านเข้ารอบฟุตบอลโลกเช่นกัน

นายเศรษฐา ยังเผยว่าได้คุยกับนายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ซึ่งนายเศรษฐาพูดติดตลกว่าไม่ได้พูดคุยเรื่องสีถุงเท้า แต่พูดคุยหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องการขอวีซ่าให้นักเรียน ซึ่งนายกรัฐมนตรีแคนาดารับเรื่องไว้พิจารณา

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังเปิดเผยถึงการเข้าพบกับนักธุรกิจรายใหญ่ของสหรัฐหลายราย ที่ส่วนใหญ่ก็ให้ความสนใจในการเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เช่น บริษัทเทสลา ที่สนใจจะเข้ามาตั้งฐานการผลิตรถยนต์อีวีในประเทศไทย และในสัปดาห์หน้าผู้บริหารระดับสูงก็จะบินเข้ามาในประเทศไทยเพื่อมาดูสถานที่ตั้งโรงงาน ล่าสุดมีผู้เสนอขายที่ให้ตั้งโรงงานจำนวน 3 ราย พร้อมกันนี้ตนได้เชิญไปร่วมสัมผัสซอฟต์พาวเวอร์ของไทยในงานยี่เป็ง ที่จังหวัดเชียงใหม่

บริษัท เอดีไอ บริษัทเซมิคอนดักเตอร์รายใหญ่ สนใจลงทุนเรื่องพลังงานสะอาดในไทย ส่วนผลการหารือกับบริษัท วอลมาร์ท จะขยายเรื่องอาหารฮาลาล และผลไม้สด อาหารสด ขอให้มีการคมนาคม ศุลกากร เพื่อขนส่งสินค้าด้วยความรวดเร็ว สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

บริษัท เวสเทิ้น ดิจิทัล จะย้ายฐานจากฟิลิปปินส์มาไทย ถือว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจ และบริษัทนี้ยังรักเมืองไทย และบริษัท แอปเปิ้ล ที่จะส่งเสริมคนพัฒนาแอปพลิเคชันในไทยที่มีกว่า 3 แสนคน เพื่อต่อยอด ซึ่งจะเสนอให้ทำเทรนนิงเซนเตอร์ พร้อมสนับสนุนการลงทุน โดยอาจทำที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งวันที่ 28 พ.ย.นี้ จะให้หน่วยงานพื้นที่หารือ

เมื่อถามว่าการเดินทางเยือนสหรัฐในครั้งนี้ถือว่าพอใจและประสบความสำเร็จหรือไม่ นายเศษฐากล่าวว่ายังมีรายละเอียดที่ต้องดำเนินการอีกมาก โดยวันพรุ่งนี้ตนจะร่วมประชุมกับทีมงาน หลังเข้าร่วมประชุมแล้วใครต้องตามงานอะไร อย่างไรบ้าง ไม่ได้เป็นการพบปะแล้วก็พอใจสิ่งที่ตนเองมีอยู่ แต่เราต้องเดินทางให้เยอะขึ้นทำให้เยอะขึ้น จากการพบปะพูดคุยกับนักธุรกิจหลายราย โดยรายหนึ่งที่ทำด้านโลจิสติกส์ ซึ่งบอกว่าประเทศไทยเป็นที่หมายปองของหลายบริษัท ที่อยากจะย้ายฐานการผลิตมาที่ไทย ที่เป็นประเด็นที่ตนจะต้องมาหารือกับสภาหอการค้าไทยในวันนี้ด้วย ซึ่งมีนักธุรกิจอยู่มาก โดยจะพูดคุยกัน และจะบอกว่าประเทศเราเป็นที่หมายปอง พวกเราทุกคนต้องเปิดกว้าง ต้องเดินทางออกไปค้าขาย ขณะที่รัฐบาลเองก็พร้อมที่จะเจรจาเรื่อง FTA ทุกหน่วยงาน รวมถึงหน่วยงานด้านความมั่นคง ก็พร้อมที่จะเปิดและแก้ไขกฎหมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนให้มีการท่องเที่ยว วีซ่าฟรี เปิดสถานบริการให้ยาวขึ้น และกวาดล้างมิจฉาชีพต่างๆ เพื่อให้ไทยเป็นประเทศที่น่าอยู่ ส่วนตัวไม่อยากจะบอกว่าประสบความสำเร็จ แต่พวกเราต้องทำงานอีกมาก เชื่อรัฐมนตรีหลายๆ คน ได้รับฟังน่าจะรู้สึกตื่นเต้น และทุกคนน่าจะทราบว่าแต่ละคนมีหน้าที่จะต้องดำเนินการอย่างไร

เมื่อถามว่านายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ ก็เห็นด้วยกับนโยบายแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท แต่ก็มีบางฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยในการกู้เงินมาใช้ในโครงการนี้ นายเศรษฐากล่าวว่า ก็พร้อมรับฟังความเห็นต่างๆ และขอบคุณนายธานินทร์ที่ให้การสนับสนุน ต้องไปดูว่าประเทศเราต้องการการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยที่นโยบายหลักไม่ว่าจะเป็น ลดค่าใช้จ่าย การสนับสนุนการท่องเที่ยว ซึ่งรัฐบาลทำอยู่แล้ว จะส่งผลระยะสั้นแต่ระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการย้ายถิ่นฐานการผลิตของหลายๆ บริษัทเข้ามา กว่าจะตอกเสาเข็มและส่งสินค้าออกไป ต้องใช้เวลาหลายปี โดย 9 ปีที่ผ่านมา การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยอยู่ที่ 1.8% เราจึงต้องการวิธีการใหม่ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ส่วนของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการกู้เงินมาใช้ในโครงการนี้ มองว่าเศรษฐกิจไทยยังสามารถเติบโตได้ ไม่ใช่ภาวะวิกฤติจนต้องกู้เงิน นายเศรษฐา กล่าวว่าพร้อมรับฟังและรับทราบ และอย่างที่ตนได้บอกตลอดเวลาว่า มีอยู่ประเด็นเดียว วิกฤติหรือจำเป็นหรือไม่ ซึ่งตนถือว่าวิกฤติ ถ้าเกิดบอกว่าวิกฤติแล้ว GDP ต้องติดลบ อันนั้นก็มีวิกฤติ แต่ถ้ามองดูว่า 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจเราโตขยายตัวอยู่ที่ 1.8 คู่แข่งเราไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เศรษฐกิจเขาขยายตัวโตเท่าไร ขอย้อนกลับดูตัวเลขย้อนหลัง และชีวิตความเป็นอยู่ประชาชน สาเหตุที่ค่าแรงขึ้นไม่ได้เพราะอะไร เพราะทุกธุรกิจเรารายได้ไม่ได้ขยายตัวขนาดนั้น รายได้ขั้นต่ำอยู่ที่ 300 บาท เพิ่มเป็น 337 บาท กลับบ้านเถอะครับ เราก็เห็นใจผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อย ว่าไม่สามารถขึ้นค่าแรงได้ เนื่องจากหลายๆเหตุผล กว่า FTA จะเจรจาแล้วเสร็จใช้เวลา 1-2 ปี และกว่าจะตั้งโรงงานก็ใช้เวลานานพอสมควร กว่านโยบายหลายๆนโยบายจะประสบความสำเร็จก็ต้องใช้เวลา ซึ่งระหว่างนี้เราจะทำอะไรกันก็ฝากไว้แล้วกัน

Advertisement