ด่วน!! “ไทย-จีน” ลงนามยกเว้นวีซ่าระหว่างกันแล้ว บังคับใช้ 1 มี.ค.นี้ “ปานปรีย์”-“หวัง อี้” ประสานเสียงเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน

191

Business Highlight Online : 28 มกราคม 2567 “ไทย-จีน” ลงนามยกเว้นวีซ่า บังคับใช้ 1 มี.ค.นี้ “ปานปรีย์” มองเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจได้ทุกระดับ เตรียมจัดประชุมระดับ รมต. ปีละครั้ง ขณะ “หวัง อี้” ขอบคุณไทย หนุนหลักการ “จีนเดียว” ชวนคนไทยสัมผัสพลวัต 2 ประเทศ บอกคนจีนนิสัยดี ตั้งเป้าเดินทางรถไฟจีน-ไทย-ลาว ต่อ ย้ำต้องเสริมสร้างประชาคม เพื่อรักษาเสถียรภาพของภูมิภาค

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ นายหวัง อี้ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการกลางด้านการต่างประเทศพรรคคอมมิวนิสต์จีน และรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ได้ร่วมลงนามในพิธีความตกลงและเอกสารสำคัญไทย-จีน ว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราซึ่งกันและกันสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการ โดยความตกลงดังกล่าวจะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป

นายปานปรีย์ แถลงภายหลังการลงนามว่า มีความยินดีที่ได้ต้อนรับ นายหวัง อี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เยือนไทยในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ และเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ได้พบปะหารือ นายหวัง อี้ ถึง 2 ครั้ง เป็นโอกาสดีที่ได้หารืออย่างละเอียด กว้างขวาง ในประเด็นยุทธศาสตร์สำคัญของทั้ง 2 ประเทศ รวมทั้งเรื่องสำคัญในภูมิภาค

นายปานปรีย์ ยังกล่าวถึงการประชุมกลไกการหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย-จีน ครั้งที่ 1 ว่า ถือเป็นก้าวสำคัญของรัฐมนตรีต่างประเทศทั้ง 2 ประเทศ ซึ่งตามข้อตกลงมีการสลับกันเป็นเจ้าภาพหารือกันอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยในวันนี้ มีการหารือส่งเสริมความร่วมมือในทุกด้าน เรายืนยันจะสนับสนุนซึ่งกันและกันในทุกมิติ ทั้งการเพิ่มพูนการค้าและการลงทุน ความมั่นคง วัฒนธรรม การท่องเที่ยว การอำนวยความสะดวกด้านการเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ระหว่างประชาชน และความร่วมมือในเวทีพหุภาคีในภูมิภาค

นายปานปรีย์ กล่าวต่อไปว่า เรายังได้แลกเปลี่ยนมุมมองสถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศ ที่สำคัญต่อภูมิรัฐศาสตร์โลก และภูมิภาคของเรา ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ในเมียนมา คาบสมุทรเกาหลี สถานการณ์ในตะวันออกกลาง เป็นต้น และเราเห็นว่าความสัมพันธ์ไทย-จีน สำคัญต่อเสถียรภาพและความเจริญในภูมิภาคอย่างยิ่ง จึงจะยึดแนวทางของประชาคมไทย-จีน เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืนยิ่งขึ้นไป

นายปานปรีย์ กล่าวว่า ไทยกับจีนได้ลงนามในเอกสารความสำคัญที่สะท้อนความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด อย่างความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราและที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 เป็นต้นไป ถือว่าความตกลงนี้เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพไทย-จีน ที่มีมาอย่างยาวนาน

“เราถือว่าความไว้เนื้อเชื่อใจได้ทุกระดับ มั่นใจว่าการเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างประชาชน การท่องเที่ยว หรือติดต่อธุรกิจต่าง ๆ จะเป็นไปอย่างสะดวกสบาย ช่วยกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของทางฝั่งไทยและจีนได้อย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปี 2568 จะเป็นโอกาสพิเศษยิ่ง ที่ไทยกับจีนได้เฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน เพื่อให้ความร่วมมือที่แน่นแฟ้นอยู่แล้ว เพิ่มขึ้นในทุกด้าน” นายปานปรีย์ กล่าว

ขณะที่นายหวัง อี้ กล่าวว่า ตนยินดีมากที่ได้มาเยือนไทยในช่วงปีใหม่ เราทั้ง 2 ฝ่ายได้เห็นมิตรภาพจีน-ไทย เป็นความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกัน ในปีหน้าเราทั้ง 2 ประเทศจะเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีนและไทย ซึ่งความสัมพันธ์ระหว่างจีน-ไทยนั้น ถือว่าผ่านความท้าทาย มีความเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด แต่ก็มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมากขึ้น

สำหรับจีน เราให้ความสำคัญมากกับการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างกัน เราสนับสนุนไทยตามเส้นทางการพัฒนา ซึ่งตรงกับสถานการณ์ความเป็นจริง และขอชื่นชมทางฝ่ายไทยที่ยึดมั่นกับหลักการประเทศจีนเดียว และสนับสนุนตามข้อริเริ่มทั่วโลก โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง คือ TDI TFI และ GCI

และล่าสุดทั้ง 2 ฝ่าย ได้ลงนามความตกลงยกเว้นวีซ่า ซึ่งเชื่อมั่นได้ว่าจะเป็นกระแสหลักใหม่ของการแลกเปลี่ยนของประชาชนทั้ง 2 ประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนมาถึงเมืองไทยก็จะเพิ่มมากขึ้น และทางจีนก็ยินดีต้อนรับคนไทยมาเที่ยวที่ประเทศจีนด้วย

“มาสัมผัสพลวัตของประเทศจีน มาคุยกันกับประชาชนจีนที่นิสัยดี มาสัมผัสชีวิตประจำวันของประเทศจีน จีน-ไทยไม่ใช่อื่นไกล เป็นพี่น้องกัน ประชาชนทั้ง 2 ประเทศ มีความผูกพันที่ใกล้เคียงกัน เรามีการเดินทางไปมาหาสู่กันมากขึ้น ชีวิตประจำวันของทั้ง 2 ประเทศก็จะดีมากยิ่งขึ้น” นายหวัง อี้ กล่าว

นายหวัง อี้ กล่าวอีกว่า เราทั้ง 2 ฝ่าย ก็เห็นด้วยว่า ผลประโยชน์ของทั้ง 2 ประเทศมีศักยภาพสูง ทั้ง 2 ฝ่าย มีการพัฒนาแบบทันสมัย จีนเป็นหุ้นส่วนการค้ารายใหญ่ที่สุดของไทย และเป็นแหล่งทุนต่างชาติรายใหญ่ของไทยด้วย เราทั้ง 2 ฝ่ายจึงต้องมีความร่วมมือในอนาคตที่มากขึ้น และเรายังเห็นพ้องตรงกันที่จะเร่งสร้างรถไฟจีน-ไทย เพื่อเชื่อมโยงกันระหว่างจีน ลาว ไทp

นอกจากนี้ ทั้ง 2 ฝ่าย กำลังจะเซ็นสัญญาส่งออกสินค้าเนื้อสัตว์ และต้นสนไทยไปยังประเทศจีน ซึ่งจีนมีความยินดีที่จะนำเข้าสินค้าเกษตรของไทยมากยิ่งขึ้น และสนับสนุนให้บริษัทจีนมาลงทุนในไทย พัฒนาความร่วมมือด้านรถยนต์ไฟฟ้า เศรษฐกิจดิจิทัล และด้านสิ่งแวดล้อมสีเขียว รวมถึงจะมีการพัฒนาความร่วมมือบังคับใช้กฎหมายความมั่นคง เพื่อปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ การหลอกลวงทางโทรศัพท์ การพนันออนไลน์และยาเสพติด สร้างทรัพยากรที่มีความมั่นคงทั้ง 2 ประเทศ

นายหวัง อี้ กล่าวทิ้งท้ายว่า เราทั้ง 2 ฝ่าย มีความต้องการที่จะส่งเสริมความร่วมมือพหุภาคีระหว่างกันให้ทันกับสถานการณ์ทั่วโลกที่มีความเปลี่ยนแปลง ยึดมั่นใน 5 หลักการ อยู่ร่วมกันอย่างสันติ เพื่อรักษาเสถียรภาพของภูมิภาคนี้ และฝ่ายจีนจะสนับสนุนฝ่ายไทยในการจัดการประชุมระดับผู้นำและรัฐมนตรี เพื่อร่วมมือสร้างประชาคมในอนาคต ตามแนวประเทศล้านช้าง-แม่โขง และจีนยินดีที่จะร่วมมือกับไทยสร้างประชาคมอนาคตจีน-ไทย ให้มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน เพื่อสร้างเสถียรภาพและความแน่นอน ซึ่งสถานการณ์โลกกำลังเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง

อนึ่ง สำหรับพิธีการลงนามในวันนี้ เป็นหนี่งในภารกิจในโอกาสเยือนไทยอย่างเป็นทางการของนายหวัง อี้ ระหว่างวันที่ 26-29 มกราคม 2567 หลังเสร็จสิ้น นายหวัง อี้ มีกำหนดการเดินทางต่อไปยังสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว